Monday, October 11, 2010

อย่ามัวแต่ฝัน โดยไม่ทำอะไร ไม่งั้นก็คงได้แค่ “ฝันเปียกไปวันๆ” – “Wishing Won’t Make It So!” (One Night Stand Discussion #27)

ทุกๆคนมี ความหวัง ทุกๆความหวังมากจาก ความฝัน ดังนั้นแล้ว เรามาทำความฝันให้เป็น ความจริงกันดีกว่า...

ผมเชื่อว่าคนที่ทำอะไรสักอย่างโดยมีพื้นฐาน เริ่มต้นมาจากความฝันและความหวังของตนเองแล้ว เมื่อได้เริ่มลงมือทำมันจริงๆแล้ว ย่อมจะทำได้ดีกว่าคนทั่วไปครับ 

เพราะอะไร...เพราะเค้าได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เค้า ฝันให้กลายเป็น จริงยังไงหล่ะครับ

ในทางกลับกัน...  

เมื่อมีขาวย่อมมีดำฉันใด เมื่อมีคนทำสิ่งที่หวังได้ ก็ย่อมต้องมีคนที่ทำไม่ได้ฉันนั้น

หากคุณคือคนกลุ่มนี้ คือคนที่ได้พยายามทำแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็จงอย่าได้ย่อท้อครับ เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้ พยายามและ ลองทำไปแล้ว

แต่หากว่า!! คุณเป็นกลุ่มคนที่ได้แต่หวัง ได้แต่ฝัน แต่..ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้คิดแม้แต่จะเริ่มเลยเนี่ยะ...ชาตินี้ ชาติหน้า หรืออีกสิบชาติ...

..คุณก็จะไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนครับ..

เชื่อผมซิว่ามันคือความจริง..

โอเคว่า..คุณอาจจะพอมีพอกิน มีงานการทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่เดือดร้อนใดๆ แต่ถามว่าสิ่งที่คุณกำลังทำหรือคิดจะทำอยู่นั้น มันคือ สิ่งที่คุณ ฝันและ หวังไว้หรือไม่

ถ้าใช่...คุณคือคนที่โชคดีที่สุดในโลก ที่ได้ทำในสิ่งที่คุณฝันเอาไว้ (ทำได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องนึง)

ถ้าไม่ผมก็อยากจะแนะนำและเชียร์ให้คุณได้ลองทำในสิ่งที่คุณเคย ฝันเอาไว้ 

เพราะสำหรับผมแล้ว การที่เราได้เกิดมาครั้งนึง ก็ควรจะได้ลองทำในสิ่งที่ตั้งใจและฝันเอาไว้ เพื่อที่ว่าอย่างน้อย เราก็จะไม่ต้องมานั่งเซ็งและมาคิดเสียดายเมื่อสาย..ว่า ทำไมเมื่อก่อน เราไม่ลองทำมันดู เผื่อมันจะดีก็ได้” 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่ (ก็รุ่นเดียวกับผมแหล่ะ แหะแหะ) คุณยังมีโอกาสให้ลองผิดลองถูกได้ ภาระความรับผิดชอบของคุณก็ยังน้อยนักเมื่อเที่ยบกับผู้ใหญ่ที่มีครอบครัว หรือมีภาระต่างๆที่ต้องรับผิดชอบ จนมิอาจได้ลองทำในสิ่งที่เขาได้ฝันเอาไว้

แล้วจะมัวลังเลหรือทำไมครับ...ทำในสิ่งที่คุณ ฝันดูสักครั้ง อย่าปล่อยให้มันเป็นแค่ ฝันลมๆแล้ง” “ฝันกลางวันหรือ ฝันเปียกอีกเลยครับ...ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็อย่าได้ไปแคร์ครับ คุณได้ลงมือทำไปแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ ฝีมือ และ โชคชะตาแล้วกันครับ หุหุ

...แล้วความฝันของนักลงทุนและเทรดเดอร์ในตลาดหุ้นหล่ะ คืออะไร?..

เชื่อแน่ว่า ความใฝ่ฝันและความตั้งใจอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทุกๆคน ไม่ว่าจะรายเก่า รายใหม่ หรือคนที่กำลังจะเข้ามาผจญภัยในตลาดหุ้น ก็คือ อยากรวย” 

ผมเองก็เป็น...แน่นอนครับ ไม่มีใครอยากจะเข้ามา เพราะ อยากจนหรอกครับ ฮ๋าๆ

แทบจะทุกคน ย่อมฝันที่อยากจะรวยแบบ วอเรนน์ บัฟเฟตต์, จอร์จ โซรอส, ดร.นิเวศน์ หรือเซียนหุ้นหลายๆท่าน ซึ่งบางคนอาจจะทำได้ บางคนก็อาจจะแค่ได้ทำ แต่ทำไม่ได้ ก็แล้วแต่ความสามารถครับ
ที่ผมอยากจะบอกคือ เมื่อคุณฝันที่จะทำให้ได้ อยากจะรวยในตลาดหุ้นให้ได้..

คุณห้ามหวัง คุณห้ามฝัน แล้วคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย!! 

ที่ผมอยากเชียร์ให้ทำก็คือ คุณควรรีบทำฝันของคุณให้เป็นจริง หรือใกล้เคียงสิ่งที่คุณฝันไว้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตลาดหุ้นอย่างจริงจัง การทุ่มเทให้กับมันทั้งแรงกายและแรงใจ โอเคว่า..โลกแห่งความจริง มันอาจจะไม่สวยหรูและไม่ใช่ถนนอันราบเรียบให้คุณผ่านไปได้อย่างง่ายดายเหมือนเช่นที่คุณฝันเอาไว้
แต่....
สิ่งใดที่ได้มาโดยง่าย ย่อมไร้ค่าในท้ายสุด
สิ่งใดที่ได้มาด้วยความยากลำบาก สิ่งนั้นแหล่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุด

คุณอาจจะใช้เวลาศึกษาการลงทุน แล้วลงสนามจริง อาจจะเจ๊ง อาจจะกำไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่คุณเชี่ยวชาญแล้ว 

คุณคือผู้ชนะ!

ไม่จำเป็นต้องรวยเป็นอัครอภิมหาเศรษฐีก็ได้ครับ เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้เอาชนะความฝันของคุณเรียบร้อยแล้ว 

เพราะ...คุณได้ทำความฝันของคุณแล้ว... 

มีคำกล่าวโดย สุดยอดจิตรกรระดับตำนานของโลกนาม ลีโอนาร์โด ดาวินชี ที่ว่า

“He who wishes to be rich in a day will be hanged in a year”

ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับว่า 

ผู้ที่หวังจะรวยภายในวันเดียว ย่อมจะได้แค่หวังอยู่อย่างนั้นตลอดไป

ผมเองก็กำลังเริ่มทำตามสิ่งที่ผมได้ฝันและได้หวังเอาไว้ มีละขั้นตอนตามที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการได้มาทำงานในสายตลาดหลักทรัพย์ ได้มาเป็นเทรดเดอร์สมดั่งที่ตั้งใจไว้ และได้มีโอกาสแชร์ประสบการณ์ ในฐานะของการเป็น ผู้ให้และอีกหลายๆอย่างที่กำลังจะตามมา ถึงแม้จะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างไร ผมก็ไม่เสียใจครับ เพราะผมได้ทำมันแล้ว...

แล้วคุณหล่ะได้ลองทำตาม ความฝันของคุณแล้วหรือยัง?

ถามใจตัวเองดูน่ะครับ...^____^

Friday, October 1, 2010

เก็บตกงานสัมมนาสิงห์เดย์เทรด ตอนที่ 5 “ข้อคิดก่อนจาก ข้อเตือนก่อนลา” (One Night Stand Discussion #23)


 Wizard Kid: แต่น แตน แต่น แต๊น!!! มาที่สไลด์สุดท้ายกันเลยครับ สุดท้ายแว้ววว!!
ภาววิทย์: ดูหนุ่มพีร์จะตื่นเต้นเป็นพิเศษน่ะ สงสัยอยากจบการพูดเร็วๆแหงๆ เอิ๊กๆๆ
Wizard Kid: ไม่หรอกครับพี่ แค่เห็นใจพี่ๆที่ต้องมาทนฟังเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ แค่นั้นเอง หุหุ
ป๋ากิ้ง: ฮั่นแน่.!! มันแอบน้อยใจเล็กๆน่ะเนี่ยะเจ้าพีร์! อย่าซีเรียส ลุยต่อโลดน้อง หนุกหนานๆ
Wizard Kid: โอเคครับ! สไลด์สุดท้ายผมก็จะขอพูดเรื่อง 

ข้อคิดก่อนจาก ข้อเตือนก่อนลา

Wizard Kid: ไหนๆ เราก็ได้รู้กันเรื่องหลักการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ผมก็ขอพูดเรื่องวิธีการรักษาความสำเร็จนั้นให้ยั่งยืนกันต่อเนื่องเลยครับ ง่ายๆครับ แต่ทำได้ยากมากถึงมากที่สุดครับ 

ภาววิทย์: ไหนๆ ลองพูดมาซิ พี่ว่าไม่ยากหรอก เหมือนที่พี่เบิร์ดชอบพูดว่า ก็ลองซิจ๊ะ น่ะจ๊ะ มันจะไปยากอะไร ทำไมไม่ลองดูซักทีหุหุ

Wizard Kid: แหม! พี่แพท มาแนวนี้ ผมก็ต้องรีบสนองแล้วครับ อิอิ
Wizard Kid: ข้อแรกเลยน่ะครับ นักลงทุนทุกคน ย้ำ! ว่าทุกคน! ก็คือ 

คุณต้องคิดเสมอว่าคุณคือ มนุษย์ธรรมดา
ป๋ากิ้ง: เอ่อ....ผมว่าตอนนี้เราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาน่ะ..เอิ๊กๆๆ 

Wizard Kid: แหม..พี่ ป้อมครับ ผมหมายถึง ในแง่ของนักลงทุนครับ เพราะจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมเนี่ยะ ผมมั่นใจเลยว่า มันจะมีจุดๆหนึ่งของการลงทุนที่เมื่อคุณทำกำไรได้เรื่อยๆหรือได้กำไรก้อน โต....แทบทุกคนจะเริ่มมีความคิดเข้าข้างตัวเองว่า เรานี่มันเซียน” “เรานี่มันเทพหรือ โอ๊ย! เล่นยังไงก็ได้แต่กำไร เก่งจริงๆตัวเรา
แน่ นอนครับ ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดเช่นนั้น คุณก็กำลังเข้าใกล้จุดวิกฤติของการลงทุนครับ

ภาววิทย์: จุดวิกฤติของการลงทุน? มันจะแย่ยังไงน้อง ในเมื่อ ณ ตอนนั้น ทุกคนก็รวยๆกันแล้ว

Wizard Kid: คืองี้ครับพี่แพท มันคือจุดอันตรายสุดๆ เพราะเมื่อคุณอยู่ในภาวะที่ Over Confident หรือมั่นใจสุดขีดเนี่ยะ สิ่งที่คุณจะลืมหรือเสียมันไปแน่นอนก็คือ วินัยการเทรด นั่นเองครับ 

ภาววิทย์: เสียวินัยการเทรดยังไงรึ?

Wizard Kid: ก็จะเป็นแนวที่ว่า จากที่เคยควบคุมการลงทุนหรือการเทรดในแต่ละครั้ง เช่นจากที่เคยเทรดหุ้นครั้งแรกที่ 10% ของเงินลงทุน แต่เมื่อคุณอยู่ในภาวะมั่นใจสุดขีดถึงขีดสุด คุณก็อาจจะเปลี่ยนไปเทรดที่ 50% ของ เงินลงทุนเลยก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งเพราะ ถ้าเกิดคุณเลือกลงทุนผิดตัว แล้วหุ้นที่คุณเลือกมันเกิดเจอแรงขายลงแรงๆขึ้นมา คุณก็จะไม่กล้าคัทลอส ตัดขาดทุน เพราะคุณจะคิดว่า นี่มันเงินตั้ง 50% ของเงินลงทุนชั้นน่ะ ถ้าชั้น Cut Loss ไปแล้ว เงินก็จะหายไปเยอะเลย ไม่เอาแระ ถือไปดีกว่า เดี๋ยวมันก็คงกลับมาที่ราคาต้นทุนอยู่ดี
นี่แหล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของจุดจบอย่างแท้จริง!!! เพราะคุณจะเริ่มย้านนิเวศณ์สถานของคุณจากบ้านหรูไฮโซ ไปอยู่กับชาวเขา บนดอย!!” หรือไม่ก็ หมดตัวได้เลยครับ พอเห็นภาพมั๊ยครับ?

ป๋ากิ้ง: อืม..แสดงว่าการที่มั่นใจสุดขีดเนี่ยะ มันก็จะทำให้คนเราขาดสติได้จริงๆน่ะเนี่ยะ

Wizard Kid: ถูก ต้องที่สุดครับ ที่คนส่วนใหญ่หมดตัวในการเทรดเนี่ยะ เพราะขาดวินัยเทรด ขาดสติในการลงทุนครับ เมื่อมั่นใจมาก ก็จะโลภมาก แล้วลาภก็หายหมด!!

ทุกคน: T________________T” (น้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะซึ้ง แต่เพราะแค้น เพราะเคยหมดตัวกันมาแทบทั้งนั้น เอิ๊กๆๆ ล้อเล่นค้าบบ)

Wizard Kid: ดังนั้นแล้ว จำให้ขึ้นใจน่ะครับว่า 

เราคือมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่เซียน
 มีผิดพลาดได้ มีได้ ก็มีเสีย เป็นของคู่กัน” 

Wizard Kid: ต่อเนื่องกันเลยครับกับข้อควรจำข้อที่สอง ก็คือ ยามที่คุณประสบความสำเร็จ คุณก็ 

 อย่าลืมรักษาอารมณ์ตอนทำกำไรติดๆกัน และจดจำความรู้สึกในยามที่คุณเจ๊ง

ป๋ากิ้ง: ฟังเหมือนจะเข้าใจน่ะ แต่ก็ยังงงๆ น้องพีร์หมายความว่าไงรึ?

Wizard Kid: อืม...เอา เป็นว่า มันก็คล้ายๆกับสัญชาติญาณการเทรดครับ เช่น เมื่อเราผ่านการเทรดมาทุกรูปแบบแล้ว ไม่ว่าจะขาดทุนเจ๊งบ๊ง กำไรบานเบอะ หรือเจอการสวิงๆของตลาดในทุกแนวแล้วเนี่ยะ เมื่อเราเจอตลาดแบบเดิมอีกครั้ง...มันก็คือ เดจาวู (Dejavu) ดีๆนี่เองครับ 

เพราะ เราจะรู้ได้ทันทีว่า ลักษณะของตลาดแบบนี้ เราเคยเจอมาแล้ว แล้วมันเคยทำกำไรให้เราได้หรือมันเคยทำให้เราขาดทุนป่นปี้มาแล้ว...ดังนั้น แล้วเนี่ยะ การจดจำความรู้สึกเช่นนั้นไว้เสมอ ก็จะเป็นผลดีต่อตัวนักลงทุนเองครับ เพราะมันจะช่วยให้การเทรดของคุณดีขึ้นจนคุณเองก็ต้องตะลึง ตึง ตึง แน่นอน ^____^

ป๋ากิ้ง: Yes sir!! ทราบแล้วเปลี่ยนขอรับกระผม

Wizard Kid: มาที่ข้อสุดท้าย และเป็นบทสรุปของการเป็นวิทยากรของผมในวันนี้น่ะครับ ก็คือ 

ตลาดหุ้นไม่มีการเล่นที่ตายตัว ต้องกล้าที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ

ข้อ นี้จริงยิ่งกว่าจริงครับ.. เพราะหากคุณมัวแต่ยึดติดกับอดีตแล้วเนี่ยะ คุณก็อาจจะหลอกตัวเองได้ครับ จริงอยู่ว่านักลงทุนรุ่นใหญ่ระดับเซียนหลายท่านมักจะพูดว่า “History Repeat Itself” หรือ อดีตย่อมหวนคืนมาอาจจะเป็นความจริงที่ผมก็ยอมรับว่าเป็นจริงเช่นกัน

แต่...! มัน ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ เพราะในยุคปัจจุบัน อะไรๆก็เป็นสิ่งแปลกใหม่ และพัฒนาไปในแนวโน้มที่แหวกแนวและล้ำหน้าไปเรื่อยๆ ดังนั้นแล้วเนี่ยะ ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับอดีตมากเกินไปแล้ว เราก็อาจจะพลาดสิ่งๆดีๆไปได้ครับ

ทุกคน: ฮิ้ววววว (ไอ้เจ้าเด็กคนนี้ มันพูดนอกเรื่องไปไกล เลยขอฮาหน่อย ฮ๋าๆ)

Wizard Kid: เหอๆ คืองี้ครับ สมมติว่า ราคาสูงสุดในอดีตของหุ้น A คือ 10 บาท แล้วหลังจากประสบปัญหาหนักๆ ไม่ว่าจะภายในและภายนอกบริษัทแล้วเนี่ยะ ราคาหุ้น A ได้ทิ้งดิ่งไปเหลือ 0.01 บาทเนี่ยะ...แล้วเราถามว่าถ้า History Repeat Itself แล้ว...ราคาหุ้น A จะกลับไปที่ 10 บาท หรือ 1 บาทได้หรือไม่? คำตอบคือ เป็นไปได้! แต่...ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะเป็นรุ่นเหลนของคุณก็เป็นไปได้ครับ! ฮ่าๆๆ
ที่ ผมอยากจะสื่อถึงก็คือ...รูปแบบการไหลของราคาของหุ้นแต่ละตัวนั้น อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนในอดีตก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ ที่สำคัญคือ เราต้องหมั่นศึกษาข้อมูลใหม่ๆ รับรู้ความเป็นไปของตลาด ณ ปัจจุบัน และนำแนวโน้มในอนาคตมาวิเคราะห์แล้วย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ใน อดีตว่ามันสอดคล้องกันหรือไม่...ถ้าใช่..ก็น่าลงทุนครับ แต่ถ้าไม่..แนะนำว่าให้ไปหาหุ้นตัวอื่นเล่นดีกว่าครับ แหะแหะ

สุด ท้ายก็คือ...ตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้น ได้พัฒนาไปอย่างก้าวไกลครับ มีเครื่องเทรดใหม่ๆ รูปแบบการรับข่าวสารหลายช่องทางรวมไปถึงการเปิดคอร์สอบรมสัมมนาให้ความรู้ นักลงทุนกันอย่างกว้างขวาง ฉะนั้นแล้ว...ก็คิดเอาแล้วกันว่า จะอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้โอกาสในการเรียนรู้หลุดลอยไป หรือจะคว้ามันไว้ เพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นกบในกะลา จะได้ทันคนอื่นครับ

ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผมได้มาแชร์ไอเดียในวันนี้ รักน่ะ จุ๊บๆ ^__^

ทุกคน: แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ ^____^
ป๋ากิ้ง: ขอบคุณน้องพีร์มากๆที่มาแชร์ประสบการณ์กันครับ งั้นก่อนจากพี่ขอถามหน่อยว่า เป้าหมายในชีวิตต่อจากนี้ คืออะไร?”

Wizard Kid: อืม...สำหรับผมน่ะ...อยากได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเทรดเดอร์ของเมืองไทย ระดับตำนานครับ แหะแหะ...
แต่...อยากเป็นเทรดเดอร์ในตำนานในด้านของการเป็น ผู้ให้ครับ

ป๋ากิ้ง: เป็นผู้ให้? ยังไงอ่ะน้อง
Wizard Kid: ก็อย่างแรกที่ผมภูมิใจมากๆก็คือ ผมได้เป็น ผู้ให้ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ตรงของผมแก่พี่ๆ เพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านทั้งที่ในงานสัมมนาและในเว็บ stock2morrow ครับ
อย่างที่สองก็คือ...ผมวางแผนว่า ถ้าเกิดผมมีเงินในระดับที่ใช้ยังไงก็หมดเนี่ยะ สมมติว่า 100 ล้านบาทน่ะครับ (สาธุๆๆๆ ขอให้มีจริงๆเต๊อะ หุหุ)
ผมก็จะนำเงินส่วนนึง อาจจะซัก 20 ล้านบาท มาเปิดกองทุน เทรดเดอร์ให้น้อง น้องคืนสังคมครับ

ป๋ากิ้ง: กองทุนชื่อน่าสนใจน่ะ เป็นอย่างไร?

Wizard Kid: ผมก็คิดเล่นๆน่ะครับพี่ป้อมว่า แทนที่ผมจะเอาเงิน 20 ล้านไปสอยเฟอร์รารี่หรือแลมโบกีนี่ แล้วมีความสุขกับวัตถุอยู่คนเดียว ผมก็จะนำเงิน 20 ล้าน ไปให้ทุนการศึกษาแก่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถแต่ขาดทุนทรัพย์ ให้เค้าเรียนในสิ่งที่เค้ารักให้ถึงที่สุด แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นคนดีต่อสังคมด้วย...

ยกตัวอย่างน่ะครับ...หากเค้าอยากเป็นตำรวจ ผมก็จะสนับสนุนให้เค้าเป็น แต่ต้องเป็นตำรวจที่ดี ไม่คดโกง ช่วยเหลือประชาชน (ขอให้ตำรวจไทยเป็นแบบนี้ทุกคนเต๊อะ)
หากเค้าอยากเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องให้เค้าเป็นนักธุรกิจที่ไม่เห็นแก่ตัว ต้องเห็นแก่ส่วนรวมด้วย
หาก เค้าอยากเป็นนักการเมือง ก็ต้องสอนให้เค้าเป็นนักการเมืองที่ใสสะอาด จริงใจที่จะช่วยเหลือประชาชน ไม่ทุจริตโกงกินแม้แต่เศษเสี้ยวของก้อนอิฐก้อนปูน  และกล้ายอมรับผิดต่อสิ่งที่ตนกระทำลงไป...พูดง่ายๆคือ ต้องเป็นลูกผู้ชายนั่นเองครับ

ป๋ากิ้ง: สุโค่ย!! 

Wizard Kid: อีก นิดครับ...เมื่อผมได้เป็นผู้ให้แล้ว...คนที่ผมให้โอกาสไป ก็ต้องเป็นผู้ให้ต่อๆไปครับ ถ้าทำได้ สังคมไทยก็จะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ครับ สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นครับ เชื่อผมเถอะ ทำดีกันต่อไป ให้ได้ก็ให้ เพราะการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนและให้อย่างไม่สิ้นสุด คือสุดยอดของความดีที่มนุษย์ควรกระทำครับ
ขอบคุณคร้าบบบบบ

ทุกคน: ฮิ้ววววววววววว แปะ แปะ แปะ ^______^

Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
30 September 2010
23:40 น.

Monday, September 27, 2010

เก็บตกงานสัมมนาสิงห์เดย์เทรด ตอนที่ 4 “Value Investor หรือ Day Trader?” (One Night Stand Discussion #22)




Wizard Kid: มาต่อกันที่ Slide ที่ สองกันเลยน่ะครับ หัวข้อสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ แต่ทำไม่ง่ายเลยนั้นก็คือ การที่นักลงทุนไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ก็ตาม ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเทรดเดอร์สไตล์ไหนกันแน่ ระหว่าง ถือยาวๆ รักนานๆ กินเนิบๆ อย่าง Value Investor หรือ ถือสั้นๆ รักข้ามคืน เสียวในวัน อย่าง Day Trader ครับ

ป๋ากิ้ง: อันนี้ผมเห็นกับน้องพีร์น่ะ ผมเห็นบางคนตอนแรกก็บอกจะเป็น Day Trade กัน สุดท้ายพอติดดอย ไม่มีวินัย ไม่กล้า cut loss ก็เปลี่ยนใจ บอกว่า ชั้นเป็น Value Investor ต่างหาก!!” 

Wizard Kid: เห็น ด้วยกับพี่ป้อมครับ สำหรับผมแล้ว นั่นมันคือข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆเลย มันแสดงให้เห็นว่า คุณยังไม่พร้อมที่จะลงสนามตลาดหุ้น เพราะถ้าคุณขาดวินัยในการเทรดแล้วเนี่ยะ ยังไงต่อให้คุณโชคดีได้กำไรในไม้แรกๆ สุดท้ายคุณก็ต้องคืนทั้งหมดให้ตลาดอยู่ดี แถมจะเป็นในรูปแบบคืนทั้งดอกคืนต้องต้นทุนอีก...เจ๊งบ๊ง!!!

ภาววิทย์: สุโค่ยย...ว่าแต่ไม่ทราบว่าเพื่อนๆที่มาฟังกันวันนี้ใครเป็นสไตล์ไหนกันบ้าง ลองเช็คกันดีกว่าน้องพีร์

Wizard Kid: จัดไปครับพี่แพท....งั้น..พี่ๆครับ ใครเป็นนักลงทุนแนว Day Trade หรือ เก็งกำไรบ้างครับ
ผู้เข้าสัมมนา: \\^-^// (ยกมือกันพรึ่บ เต็มห้องเลย)

Wizard Kid: สุดยอดครับ ยกมือกันหมดเลย เหอๆๆ....แล้วมีใครเป็น Value Investor บ้างครับ
ผู้เข้าสัมมนา: ………..-___-……….  (บรรยากาศเปลี่ยนเป็นป่าช้าทันใดพลัน)
ภาววิทย์: ป๋มก๊าบบบบบ \\^-^//  (โอ้ววว...คนเดียวเลย PTT ไม่ 400 บาท ไม่ขายชิมิ หุหุ)
Wizard Kid: ข้าน้อยขอคารวะท่านพี่ ในฐานะ Value Investor คนเดียวของห้องนี้ สุโค่ย!!
ภาววิทย์: ^_____^ ยืนยันคำเดิมว่า PTT ไม่ 400 บาท ผมไม่ขาย หุ หุ

Wizard Kid: เอิ๊กๆ มาต่อกันเลยครับ วันนี้ผมก็ทำ slide ที่แบ่งลักษณะเทรดเดอร์ออกเป็น 2 แบบ ก็คือ Value Investor กับ Day Trader

ป๋ากิ้ง: แล้วพีร์แบ่งอย่างไรหล่ะ?
Wizard Kid: ก็แบบ คนที่เหมาะจะเป็น Value Investor เนี่ยะ ผมคิดดูแล้ว ต้องเป็นคนที่ ใจเย็น ทนทาน หลับได้ทุกสถานการณ์เป็นคนที่ ไม่ตื่นตระหนกง่าย แล้วก็ ชอบอ่านงบการเงินหรือเล่นกราฟระยะยาวครับพี่

ป๋ากิ้ง: ผมก็หลับง่ายน่ะ แต่ทำไม เห็นหุ้นสวิงแล้ว ใจมันสั่น ตุ้มๆ ต่อมๆ ทู้กทีเลยหล่ะ..
Wizard Kid: ป่อยยย!! มัน คนละความหมายแล้วค้าบพี่ ผมหมายความว่า ต้องเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจการสวิงของราคาในวันครับ เพราะในเมื่อตัดสินใจลงทุนระยะยาวแล้วเนี่ยะ ก็ควรโฟกัสระยะยาวเช่นกันครับ พวกระยะสั้น ราคาแกว่งๆ สวิงๆ เนี่ยะ ปล่อยให้ สิงห์เดย์เทรดเค้าตื่นเต้นกันไปเถอะครับ
 ป๋ากิ้ง: แจ่ม แหล่ม สุโค่ย!!

ภาววิทย์: แล้ว Value Investor นี่ ควรจะใช้ Technical Analysis อยู่มั๊ยน้องชาย หรือไม่ต้องใช้ เพราะยังไงก็เล่นระยะยาว?
Wizard Kid: ผมยังเชื่อว่า ควรจะใช้ Technical Analysis หรือ กราฟ เป็นเครื่องมือช่วยในการบอกราคาเข้าอยู่ดีครับ อย่างที่ผมได้บอกไปในเบรกที่แล้ว ว่าต่อให้หุ้นที่คุณเล็งไว้จะดีแค่ไหน แต่ถ้าราคา ณ ขณะนั้น มันสูงลิ่วเกินไป ก็ยังไม่ควรเข้าครับ ควรรอสัญญาณการเข้าซื้อใหม่ แล้วถือยาวไปเลยจะดีกว่า

ภาววิทย์: งั้นถ้าสมมติว่า พี่ใช้ MACD เป็นเครื่องมือในการเทรดเนี่ยะ พี่ควรดูกับกราฟระยะใดเหรอ?
Wizard Kid: ผมแนะนำให้ใช้ราย Month เลยครับ ฟันเฟิร์ม!!! (ไว้ผมจะอธิบายให้เห็นภาพในบทความต่อๆไปครับ)
ภาววิทย์: โอ้ว!! เลิศสะแมนแต่น จริงๆ!!

Wizard Kid: มาต่อกันที่ ลักษณะ Day Trader กันดีกว่าครับ...ก็ง่ายๆ คือ ตรงข้ามกับเหล่า Value Investor หมดเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ภาววิทย์: เอากันง่ายๆเลยรึน้อง งั้นพี่พูดต่อให้น่ะ Day Trader ก็จะเป็นพวก รักท้าทาย รักสนุก ไม่ผูกพัน ไหลตามน้ำแถมยัง ชอบการสวิงของราคาและ ไม่ชอบการถือข้ามวัน ไม่อยากมีสถานะข้ามคืนครับ
 Wizard Kid: ถูกต้องน่ะครับ!! แต่ที่อยากเพิ่มอีกอย่างคือ ชาว Day Trade ที่ดีนั้น ควรเป็นคน ช่างสังเกตุด้วยครับ

ป๋ากิ้ง: ช่างสังเกตุยังไงพีร์
Wizard Kid: ก็เนื่องจาก คนที่เป็น Day Trader เนี่ยะ ส่วนใหญ่ก็เล่นตามการไหลของ ticker หรือไม่ก็ดู Bid – Offer ของหุ้นตัวที่ชอบ ถูกมั๊ยครับ...ดังนั้นแล้ว การเป็นคนช่างสังเกตุเนี่ยะ ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะถ้าหากมีอะไรที่แปลกๆ เกิดขึ้นในช่อง Bid หรือ Offer ช่องใดช่องนึงเนี่ยะ มันก็อาจจะบอกทิศทางการไหลของราคาของหุ้นตัวนั้นๆได้เลยครับ

ป๋ากิ้ง: แจ่มมั่ก!! แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า Bid-Offer แบบไหน มันบอกหรือส่งสัญญาณอะไรบ้าง
Wizard Kid: ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวครับ ประสบการณ์ล้วนๆครับ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเปรียบได้กับ

การ ศึกษาหุ้นตัวใดตัวนึง ก็คล้ายกับการจีบสาวครับ ถ้าเราจีบเล่นๆ ขำๆ ตัวคุณเธอก็จะเล่นๆ ขำๆ กับเราด้วย สุดท้ายก็แยกทาง ไม่มีใครได้กำไรกลับไปเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณรู้ทุกอย่างในตัวคุณเธอ ทั้งนิสัยใจคอ วิธีการขอคืนดี รวมถึงการชนะใจเธอแล้ว ต่อให้เกิดวิกฤติแค่ไหน คุณก็สามารถแก้เกมส์ได้หมด สุดท้ายคุณก็จะได้เธอมาเป็นคู่ครอง
หรือพูดง่ายๆคือ

ถ้า คุณรู้จักนิสัยของหุ้นที่คุณเล่นอย่างดีพอแล้ว ต่อให้เจ้ามือจะกวนโอ๊ย ป่วนราคาให้คุณกลัว ให้คุณคายของในพอร์ทคุณทิ้ง คุณก็จะรู้วิธีที่จะแก้เกมส์ได้ ทีนี้คุณก็จะกำไรแน่นอน!! ถึงขาดทุนก็ขาดทุนนิดหน่อยครับ
ทุกคน: ฮิ้ววววววว ^____^

To be continued…. พบกับตอนจบของงานสัมมนาโดย Wizard Kid ในบทความหน้าครับ

จะเดย์เทรด..หรือถือยาว..ก็เป็นได้..
ไม่เสียหาย..ขอให้เลือก..ที่คุณชอบ..
เชื่อตนเอง..เลือกตัวตน..ใช้ใจคิด..
ไม่มีพิษ..รวยได้แน่..ถ้าเลือกเป็น..

Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
27 September 2010
23:00 น.

Sunday, September 26, 2010

เก็บตกงานสัมมนาสิงห์เดย์เทรด ตอนที่ 3 “เมื่อ Wizard Kid เผยเคล็ดลับที่ไม่ลับ ในการประสบความสำเร็จในการลงทุน ช่วงที่ 2” (One Night Stand Discussion #21)



Wizard Kid: มาต่อกันเลยน่ะครับ...อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญในการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ก็คือ มีอาวุธประจำตัว พี่ๆผู้ชายทุกๆท่าน อาจจะบอกว่าจะมีอีกทำไม ในเมื่อก็มีอาวุธประจำตัว ประจำกายกันทุกคนอยู่แล้ว....ตึ๊ง!!!! แหะแหะ ล้อเล่นครับ อย่าคิดลึกๆ ^__^

ภาววิทย์: ขนาดในงานสัมมนา มันยังปล่อยมุขเรื่อยราด ไม่เป็นที่ไม่เป็นทางอีก..ฮ่วยย!
Wizard Kid: ไม่ใช่สุนัขน่ะคร้าบบพี่แพท เหอๆๆ

Wizard Kid: อาวุธประจำตัวที่ผมหมายถึงเนี่ยะ ก็คือ เครื่องมือในการเทรดครับ ยกตัวอย่างเช่น Technical Analysis ถึงแม้คุณจะไม่ใช่คนที่เก่งกราฟ หรือคุณเป็น Value Investor แบบชนิดที่เรียกได้ว่า ชีวิตนี้ชั้นจะซื้อจะขายหุ้นก็ต้องขึ้นอยู่กับงบการเงิน ผลงานของบริษัทหรือแม้กระทั่งชื่อชั้นของผู้บริหารของบริษัทที่คุณต้องการจะถือหุ้นไว้ ผมก็ยังมองว่าการที่มี Technical Analysis เป็นเครื่องมือเสริมในการตัดสินใจ ย่อมจะทำให้คุณได้เข้าไปถือหุ้นในเวลาที่ถูกจังหวะ หรือที่เค้าเรียกว่า Good Timing ปิ้งปลาย่าง ทำนองนั้นครับ

ป๋ากิ้ง: แล้วทำไม Good Timing แล้วต้องปิ้งปลาย่างด้วยฟร่ะ!! ???
Wizard Kid: หุหุ ไม่เกี่ยวกันครับ แค่เห็นมาคล้องจอง ฮ๋าๆๆ
ทุกคน: -_________-’’

Wizard Kid: ไม่กวนติ่งแระครับ ต่อกันเลยดีกว่า ลองคิดดูน่ะครับ ถ้าพี่ๆ ทุกท่านรู้ว่าหุ้น A มันดี มันจะเป็น Super Growth Stock ในอนาคตแน่ๆ แต่จังหวะที่พี่เข้าไปซื้อมันเป็นช่วง Super Peak ของตลาดหรือตลาดที่ใกล้ถึงจุดสุดยอด ยอดสุดแล้วเนี่ยะ (ห้าม! คิดทะลึ่งน่ะครับ เอิ๊กๆๆ) สุดท้าย พี่ก็ต้องอยู่ในภาวะรักชาวเขาขึ้นมาทันทีแน่นอน นั่นก็คือ ติดดอย!! นั่นเองแหล่ะครับ
ภาววิทย์: อ้าว แบบนี้มันหยามสไตล์เทรดแบบผมนี่ น้องพีร์!! พูดให้เคลียร์ๆ!!

Wizard Kid: ไม่ใช่แบบนั้นครับพี่แพท ใจเย็นๆ ใจร่มๆ ห่มผ้าหนาๆก่อนครับ
คือ ผมว่าถ้าเรามีเครื่องมือในการดูจังหวะที่เข้าซื้อขายเนี่ยะ ต่อให้เป็นหุ้นดีขนาดไหน จะถือได้เป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น ราคาที่เข้าซื้อก็มีผลต่อจิตวิทยาอยู่ดี เช่น พี่บอกว่า PTT กับ BANPU คือสุดยอดหุ้นของเมืองไทย แต่ถ้าพี่เข้าไปซื้อเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แถวๆราคา 500 – 700 บาทต่อหุ้นเนี่ยะ... แล้วเจอเปรี้ยงเดียว! กับวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา ราคาหุ้นสองตัวนี้ร่วงดิ่ง ทิ้งแม่ม่ายไปที่ 150 – 180 บาทต่อหุ้น ถามว่าพี่เสียความรู้สึกมั๊ยครับ ถึงแม้ตอนนี้ราคาหุ้นสองตัวนี้กำลังฟื้นตัวมาอย่างร้อนแรง?
ป๋ากิ้ง & ภาววิทย์: ก็....อืม....นิดนึงน่ะ... T___T”

Wizard Kid: นั่นแหล่ะครับ ประเด็นของผมเลย มันเป็น Opportunity Cost ครับ หรือค่าเสียโอกาส โอกาสอะไร? ก็โอกาสในการได้ของดีราคาถูก ได้เพิ่มจำนวนหุ้น ดีกว่าได้ของดีราคาโคตรแพง ต้องนั่งดูเพื่อนๆได้กำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว ในขณะที่ตัวเองได้แต่นั่งดูการกระเตื้องของราคาทีละนิดทีละหน่อยเป็นเวลา 1-2 ปี โดยที่ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเงินลงทุนแทบทั้งหมด จมอยู่กับหุ้นที่โคตรดี แต่ดันไปได้ในราคาที่โคตรแพง ในภาวะตลาดที่โคตร Peak
ภาววิทย์: เห็นด้วยก๊าบ...T___T”
ป๋ากิ้ง: แล้วน้องพีร์ มีเครื่องมืออะไรมาแนะนำพี่ๆกันบ้างหล่ะ ในฐานะที่เราเป็นแนวอ่านข่าวบ้างนิดหน่อย แต่เน้น technical analysis กับจิตวิทยาการลงทุน

Wizard Kid: ก็ที่ชอบเป็นการส่วนตัวจริงๆ ก็มี Gap Theory และ สามเหลี่ยมทองคำครับ (ตามที่เคยได้เขียนไว้ใน http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=15440 และ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=15614 ) แล้วก็อาจจะมีเครื่องมือเสริมอื่นๆแล้วแต่ถนัดครับ ไม่ว่าจะเป็น Fibonacci Retracement, MACD, STOCASTIC หรือ RSI ครับ แล้วแต่ความชอบเลยครับ 

ภาววิทย์: แล้วหลักในการเลือกเครื่องมือการเทรดนี่ น้องพีร์เลือกยังไง?
Wizard Kid: เลือกไม่อยากเลยครับ เลือกให้เข้ากับสไตล์การเทรดของตัวเอง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่นตามคนอื่นครับ ช่วงแรกๆอาจจะหาเครื่องมือเทรดที่เหมาะกับสไตล์เทรดตัวเองยากหน่อย อย่างผมก็เล่นไปเรื่อยๆ ทดสอบบ่อยๆ แล้วเอามานั่งดูพร้อมกับตลาดจริงๆเลย กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ประมาณ 2-3 เดือนครับ
ภาววิทย์: นานไปมั๊ยน้อง? บางคนเค้าอาจจะท้อน่ะ บางคนก็คงถอยหนีไปแล้ว

Wizard Kid: นั่นแหล่ะครับคือ จุดอ่อนของนักลงทุนแทบทุกคนก็คือ ไร้ซึ่งความอดทน อะไรที่ต้องการ ต้องได้เดี๋ยวนั้นเลย และไม่ชอบอ่านและศึกษาด้วยตนเอง
ป๋ากิ้ง: เพราะเหตุใดหล่ะ?

Wizard Kid: ผมมองว่าเป็นเพราะนิสัยรักความสบายครับ อะไรที่ลำบากๆเนี่ยะ มักจะไม่ทำหรอกครับ ทั้งๆที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายนั้น แทบทุกคนต้องผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า โคตรลำบาก แถมยังผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลว ล้มแล้วล้มซ้ำ ลุกแทบไม่ขึ้นมาทั้งนั้น แต่เมื่อเค้ายืนได้แล้วเนี่ยะ บุคคลเหล่านั้นมักจะนำช่วงเวลาที่ล้มเหลวผิดพลาดมาเป็นบทเรียนสอนตน และเค้าก็ไม่กลับไปผิดพลาดเช่นนั้นอีกเลยครับ เช่นเดียวกันกับสุดยอดนักลงทุนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสาย Value Investor หรือ Day Trading ไม่ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วเค้าก็รวยกันเลยน่ะครับ มันต้องผ่านช่วงลองผิดลองถูกกันมาทั้งนั้นครับ เชื่อผมเถอะครับว่า 

การลงทุนที่จะประสบความเร็จนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการฝึกว่ายน้ำ คุณอาจจะมีจมน้ำบ้าง สำลักน้ำบ้าง เหนื่อยสายตัวแทบขาดบ้าง แต่เมื่อคุณว่ายได้ ว่ายจนชำนาญแล้วเนี่ยะ คุณก็จะไม่จมอีกแน่นอน

ผู้ชม: แปะ แปะ แปะ ฮิ้วๆ ฟิ้วๆ ^___^
Wizard Kid: มาต่อกันอีก 2 หัวข้อก่อนพักเบรกน่ะครับ อึดและถึกกับผมต่อน่ะครับ
หลังจากที่พี่ๆ ค้นหาตัวตน ค้นพบตัวเองจนเจอแล้วเนี่ยะ และมั่นใจว่ามีวินัยเทรดที่เพียงพอแล้ว รวมถึงมีเครื่องมือเทรดประจำกายแล้วเนี่ยะ สิ่งสำคัญต่อไปก็คือ การทำ Paper Trading หรือ การจำลองการเทรดกับตลาดจริงครับ 

ภาววิทย์: Paper Trading? ยกตัวอย่างมาจิ๊
Wizard Kid: ก็คือการเทรดโดยใช้เงินจำลองนั่นแหล่ะครับพี่ แต่ให้เราจดบันทึกการเทรดของเรา พร้อมทั้งเหตุผลที่เข้าซื้อและขายออก ในแต่ละครั้งไว้ด้วย ทำไปซัก 1-2 เดือน แล้วย้อนกลับมาอ่านเหตุผลทั้งหลายว่า เพราะอะไรคุณถึงทำกำไรได้ เพราะอะไรคุณถึงขาดทุน อาจจะฟังดูงี่เง่าไร้สาระน่ะครับ แต่เชื่อผมเถอะครับว่ามันได้ผลแน่นอน อย่างน้อยก็เป็นการฝึกให้คุณเป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการเทรด
ภาววิทย์: แหล่มและแจ่มไปเลยน้องเอ๊ย!!
Wizard Kid: เรื่องสุดท้ายของสไลด์นี้ก็คือ Money Management ครับ เรื่องนี้เชื่อว่าพี่ๆทุกท่านคงได้ยินกันหูชา อ่านกันจนตาแฉะ จนชุ่มฉ่ำหัวใจกันไปเป็นแถวๆแล้วแน่ๆครับ ทำไมต้อง Money Management ด้วยหล่ะ? ไม่อยากเลยครับ เพราะถ้าคุณรู้ว่า การเล่นแบบไหนต้องใช้เงินเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ต้องมีจุดคัทลอส ตัดขาดทุนเท่าไหร่ คุณถึงจะเจ็บตัวไม่มาก และต้องใส่เงินไปเท่าไหร่ เมื่อหุ้นที่คุณซื้อกำลังมาถูกทาง ของแบบนี้ไม่ได้ฝึกกันง่ายๆน่ะครับ มันต้องผ่านการฝึกฝนทั้งจาก paper trading และประสบการณ์จริงครับ
ป๋ากิ้ง: แล้วมีวิธีอื่นมั๊ยที่จะฝึก Money Management ให้ได้ดีโดยที่ไม่ต้องลงทุนในตลาดหุ้น

Wizard Kid: ก็พอมีครับพี่ป้อม ผมเคยเขียนใน S2M เรื่อง “One Night Stand Discussion #2 (ไพ่โป๊กเกอร์กับการบริหารหน้าตักการลงทุน)” (อ่านได้จากลิ้งค์นี้ครับ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=14565 )

ป๋ากิ้ง: โอเค ซึ้ง!! งั้นผมขอถามพีร์คำถามนึงก่อนเราจะพักเบรกแล้วมาคุยต่อกันในช่วงหน้าน่ะ

Wizard Kid: จัดมา อย่าให้เสียครับพี่

ป๋ากิ้ง: พีร์เคยบอกผมว่า พีร์เคยเจ๊งหุ้นทั้งเงินของตัวเอง และของพี่สาว ประมาณ 8 แสนบาทตั้งแต่ 4-5 เดือนแรกที่พีร์เริ่มศึกษาตลาดหุ้นใช่มั๊ย

Wizard Kid: เอิ่มมม...ฮึก ฮึก...ใช่ครับพี่ T____T” แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วครับ ผมสัญญากับตัวเองไว้เช่นนั้น เพราะผมทุ่มเททุกอย่างให้กับชีวิตเทรดของผมไปแล้ว ที่เหลือก็รอแค่คืนเงินทุนให้ตัวเองและพี่สาวครับ แหะแหะ

ป๋ากิ้ง: งั้นผมขอถามว่า ระหว่างเสียหุ้นกับโดนแฟนด่าเนี่ยะ อันไหนพีร์รู้สึกเสียใจกว่ากัน

Wizard Kid: (คิดในใจ...มุขนี้มันมุขสดนี่หว่า ไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อนซะด้วย...ซวยแล้วตรู)

ป๋ากิ้ง: ว่าไงน้อง อย่าคิดนานจิ พี่มันพวกใจร้อน ใจเร็วน่ะ หุหุ

Wizard Kid: ก็สำหรับผมน่ะ

เสียหุ้นเป็นแสนก็แค่เสียดาย แต่โดนแฟนด่า มันแสนเสียใจครับ

ป๋ากิ้ง, ภาววิทย์ และผู้เข้าฟังทุกท่าน: ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!!!

 

To be continued….

มีอาวุธ..ประจำตัว..แสนดีนัก..

เป็นเครื่องมือ..ที่ล้ำค่า..ควรสรรหา..

เล่นสั้นยาว..ก็ควรมี..ติดตัวไว้..

ดีกว่าไร้..ซึ่งเครื่องมือ..มัวแต่เดา..^__^

Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
26 September 2010
10:15 น.